ปรับพอร์ตลงทุนโค้งท้ายปี “3 กูรู” แนะถือเงินสด ทยอยเข้าเก็บหุ้น

ข่าวล่าสุด

เข้าสู่โค้งสุดท้ายปลายปีแล้ว แต่ภาพการลงทุนในช่วง 3 เดือนปลายปี ยังคงมีหลายปัจจัยเสี่ยง นักลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวัง และเลือกหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ โดย “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมไอเดียการจัดพอร์ตจาก 3 กูรู 3 สไตล์ เพื่อช่วยนักลงทุนฝ่าความผันผวน

เริ่มจาก “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือ TMBAM Eastspring กล่าวว่า ช่วงปลายปีเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นลบเข้ามาเซอร์ไพรส์ตลาด

โดยเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยตามแนวทางที่วางไว้ ซึ่งประเด็นนี้ตลาดรับรู้ไปมากแล้ว ความผันผวนก็คงจะยังอยู่แต่ในกรอบ อย่างไรก็ดี ปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะชะลอตัวลงมากขึ้น จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น

“การปรับพอร์ต แบ่งออกเป็น 3 แบบ สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อยให้ลงหุ้นประมาณ 20% ตราสารหนี้ 80% สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางให้ลงหุ้นประมาณ 55% ตราสารหนี้ 45% ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้สูง ให้
ลงหุ้นประมาณ 85%

โดยปัจจุบันเชื่อว่าเป็นช่วงปลาย ๆ ของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว จึงแนะนำลงทุนในหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐ 25% เป็นหุ้นเอเชีย 20% เวียดนาม 20% และหุ้นอินฟราสตรักเจอร์ 10% ซึ่งตัวนี้เป็นตัวที่เวลาเกิดเศรษฐกิจถดถอยจะไม่ค่อยผันผวน และหุ้นจีนที่ปรับลงลึกมาก ๆ 10% รวมถึงหุ้น thematic อย่างหุ้นเทคโนโลยีมีติดไว้ 10% ได้เพื่อตลาดคลายกังวลปีหน้าแล้วหุ้นฟื้น”

“บดินทร์” กล่าวอีกว่า ที่เหลือ 15% แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ โดย 10% ลงทุนในตราสารหนี้โลกระยะกลาง อายุประมาณ 2-3 ปี และอีก 5% สามารถลงทุนในตราสารหนี้ไทยใน money market หรือถือเป็นเงินสดเอาไว้ เป็นสภาพคล่องได้ เผื่อตลาดปรับฐานสามารถนำสภาพคล่องตรงนี้ทยอยเข้าสะสมหุ้นเพิ่มเติมได้

ขณะที่ “มงคล พ่วงเภตรา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดาโอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดอกเบี้ยขาขึ้นรอบนี้เป็นดอกเบี้ยขาขึ้นที่เป็นลบ เพราะว่าถ้าไปดูวัฏจักรของเศรษฐกิจปกติดอกเบี้ยขาขึ้นมักจะเกิดในสภาพที่เศรษฐกิจมีการเติบโต บวกกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันดอกเบี้ยขาขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นไปพร้อมกับเศรษฐกิจที่เติบโต

เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่าดอกเบี้ยขาขึ้นรอบนี้ เป็นภาระของธุรกิจโดยรวม ดังนั้นการจัดพอร์ตลงทุนในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ และบนสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี การลงทุนต้องใช้ความระมัดระวัง

“ตราสารหนี้เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะเสี่ยงให้ลงแค่ 10% ส่วนการถือเงินสดค่อนข้างสำคัญ โดยให้ถือ 30% เพราะว่าตลาดหุ้นยังมี 2 ปัจจัยที่ยังไม่รู้จุดจบ คือ 1.ปัญหารัสเซียกับยูเครน 2.การปรับขึ้นดอกเบี้ย 3.สถานการณ์โควิดในจีน บวกกับปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ทำให้ในอีก 3 เดือนข้างหน้าตลาดการลงทุนจะยังผันผวน

ดังนั้นการถือเงินสดในพอร์ตเยอะแบบนี้ ผมมองว่าจะทำให้พอร์ตรอดได้ ส่วนอีก 60% ที่เหลือให้เป็นหุ้นทั้งหมด โดยเน้นหุ้นไทยเป็นหลัก และเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำ มีผลประกอบการธุรกิจที่ดีพอสมควร และเป็นหุ้นที่ออกแนว defensive และหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีราคาแพง รวมถึงหุ้นในต่างประเทศที่จะยังมีความเสี่ยงมากแนะนำหลีกเลี่ยงไปก่อนได้”

ด้าน “กสิณ สุธรรมมนัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา กล่าวว่า แนะนำลงทุนหุ้นประมาณ 20-40% ส่วนที่เหลืออีก 60% จะเป็นในตราสารหนี้ หรือกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกประเภทอื่น เช่น ทองคำ กองรีท เป็นต้น สำหรับตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกลาง

เพราะตอนนี้เป็นเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น ดังนั้นดอกเบี้ยจะค่อย ๆ ปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ ส่วนหุ้นในต่างประเทศยังน่าสนใจ แต่นักลงทุนต้องเลือกหุ้นให้ถูกประเทศ อย่างเช่น หุ้นเวียดนามที่การเติบโตค่อนข้างดี หรือหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐ ที่ปรับลงมามาก แนะนำว่า
ไม่ต้องขาย สามารถถือต่อไปได้ แต่ต้องเป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป และควรกระจายการลงทุนในธีมที่เหมาะสม และคัดเลือกประเทศก่อนที่จะลงทุน

“ส่วนเงินสด ผมมองเป็นการถือเงินสดสำหรับลงทุน ปัจจุบันตลาดผันผวนค่อนข้างมาก นักลงทุนควรมีเงินสดติดมือไว้เสมอ เผื่อวันหนึ่งเมื่อถึงจังหวะการลงทุน ก็จะสามารถนำเงินมาลงทุนได้ในจังหวะที่ถูกต้อง โดยเทคนิคการลงทุนปัจจุบัน คืออย่าลงทุนครั้งเดียว ให้ทยอยเข้าลงทุน ต้องเก็บเป็นไม้ ๆ เอาไว้ เพื่อไม่ให้ผันผวนจนเกินไป”

ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองที่น่าสนใจ ซึ่งนักลงทุนสามารถนำไปเป็นแนวทาง เพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง